คุณแม่จะต้องมีการควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือดให้ใกล้เคียงภาวะปกติมากที่สุด ได้แก่ การควบคุมอาหารประเภทข้าวแป้งและน้ำตาลอย่างเข้มงวด แต่หากควบคุมไม่ได้จำเป็นที่จะต้องใช้ยาอินซูลินฉีด เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ส่วนใหญ่พบในการตั้งครรภ์ไตรมาสที่3 เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes, GDM) สามารถแบ่งออกเป็น2ระดับความรุนแรง คือClass A1 (glucose intolerance) พบได้ร้อยละ90ในหญิงตั้งครรภ์ รักษาด้วยการควบคุมอาหารClass A2 (Overt DM) หมายถึงมี fasting hyperglycemia คือระดับน้ำตาลมากกว่า 105มก./ดล. รักษาด้วยการฉีดอินซูลิน
หลักการควบคุมอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต
– หลีกเลี่ยงอาหารมื้อใหญ่มื้อเดียว โดยแบ่งเป็น 3 มื้อหลัก อาหารว่าง3มื้อ
– รับประทานอาหารที่ให้พลังงาน จากกลุ่มโปรตีน ไขมันชนิดดี หรือคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮมสวีท
– เพิ่มอาหารจำพวกโปรตีน(เนื้อสัตว์) และผักให้มากขึ้น โดยเฉพาะผักจำพวกใบ เพราะมีใยอาหารและวิตามินมาก ส่วนนมควรรับประทานเป็นนมจืด หรือนมพร่องมันเนย ควรงดหรือหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน เงาะ ลำไย ลิ้นจี่
– รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วนเกินไป
คุณแม่ที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่ หลังคลอดบุตร ระดับน้ำตาลจะดีขึ้นเอง แต่อย่างไรก็ตามสตรีตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ที่มีภาวะน้ำตาลจะดีขึ้นเอง แต่อย่างไรก็ตามสตรีตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานในอนาคต สูงกว่าคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ปกติ จึงควรดูและควบคุมอาหารอยู่สม่ำเสมอ ลดการรับประทาน ขนมหวาน เครื่องดื่มหวานต่างๆ แกงหวานและควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดทุกปี
ความเสี่ยงของทารกในครรภ์ที่คุณแม่ควบคุมน้ำตาลไม่ได้
– พิการแต่กำเนิดหรือแท้งบุตร (สำหรับคุณแม่เป็นเบาหวานก่อนตั้งครรภ์)
– น้ำตาลในเลือดสูง
– ระบบประสาทพัฒนาได้ไม่ดี
ความเสี่ยงของลูกน้อยหลังคลอด
– ทารกมีขนาดตัวที่ใหญ่ น้ำหนักมากกว่า 4,500 กรัม
– น้ำตาลในเลือดต่ำ
– คลอดก่อนกำหนด
– ปัญหาการหายใจ
– มีโอกาสเป็นโรคอ้วนและโรคเบาหวาน